ถอด 5 วิธีครีเอทีฟ ในแบบเดอนีส์ วีลเนิฟว์ ผู้กำกับ Dune

‘หนอนทราย เจ้าชาย สงคราม และผู้กอบกู้’ สิ่งเหล่านี้เป็นต้นตอของแรงบันดาลใจให้ชายชื่อเดอนีส์ วีลเนิฟว์ (Denis Villeneuve) ลุกขึ้นมาสร้างภาพยนตร์เรื่อง Dune จนประสบความสำเร็จ และกลายเป็นหนึ่งในมหากาพย์ภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่อีกเรื่องของโลก

Last updated on มี.ค. 18, 2024

Posted on มี.ค. 10, 2024

Dune คือภาพยนตร์ที่แฟนหนังเรียกได้ว่าดัดแปลงยากมาก เพราะแม้นวนิยายต้นฉบับจะออกมาตั้งแต่ปี 1965 แต่ก็แทบไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จในการดัดแปลงสิ่งนี้มาเป็นหนังเท่ากับวีลเนิฟว์เลยสักครั้ง อะไรที่เป็นต้นตอของวิธีคิด และเทคนิคการทำงาน วันนี้ CREATIVE TALK จะพาไปไขรหัสความคิดของ เดอนีส์ วีลเนิฟว์ ผู้กำกับมหากาพย์ Dune 

1. ไม่กังวลเรื่อง AI ใช้สมองแบบอัลกอริทึม

แม้ว่าเทคโนโลยี AI จะเข้ามามีบทบาทกับผู้คน แต่วีลเนิฟว์ก็เชื่อว่ามนุษย์เองก็เป็นเหมือนอัลกอริลิทึม เพราะในฐานะผู้สร้างภาพยนตร์ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์แล้ว เราต่างก็มีอัลกอริทึมในสมองด้วยกันทั้งสิ้น

ยิ่งในยุคนี้ ซึ่งเป็นยุคที่ความคิดสร้างสรรค์ถูกจำกัด นั่นทำให้สิ่งเดียวที่จะกอบกู้ศรัทธาของคนดูกลับมาสู่ภาพยนตร์ได้ก็คือ อิสรภาพ และการกล้าเสี่ยง เพราะสิ่งนี้จะนำมาซึ่งความแปลกใหม่ให้กับงานของเรา

สำหรับวีลเนิฟว์แล้ว การเอาชนะ AI จึงไม่ใช่ความสร้างสรรค์ที่โดดเด่น แต่การเปลี่ยนตัวเองเป็นอัลกอริทึม และสร้างสิ่งที่ผู้ชมไม่เคยเห็นมาก่อนนี่แหละคือ Key สำคัญ


2. เอาชนะความล้มเหลว ด้วยการยอมรับมัน

ก่อนมาสร้างหนัง Dune วีลเนิฟว์เคยเป็นผู้กำกับ Blade Runner 2049 ภาคต่อของหนังในตำนานอย่าง Blade Runner ซึ่งในขณะที่เขาสร้างนั้นใครต่างก็คิดว่า วีลเนิฟว์ต้องเป็นคนบ้าแน่ ๆ ถึงได้พยายามจะสร้างภาคต่อของหนังที่เป็นตำนานเมื่อ 35 ปีก่อน

แม้วีลเนิฟว์จะกังวล แต่ท้ายที่สุดเขาก็ต้องยอมรับความจริงว่า โอกาสที่จะ Blade Runner 2049 จะล้มเหลวก็มีสูงมาก เพราะเขาไม่เพียงต้องต่อสู้กับความมหัศจรรย์ทางเทคนิค แต่ยังต้องต่อสู้กับความหลัง ความทรงจำ และความรู้สึกที่หนังเรื่องนี้มอบให้ผู้ชมตลอด 35 ปีที่ผ่านมาอีกด้วย

“เราต้องยอมรับความจริงว่าเราทำได้ แม้มันอาจจะล้มเหลว แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยเราก็ได้ลองทำมันลงไป และเมื่อเราทำ เราจะเป็นอิสระ” - เดอนีส์ วีลเนิฟว์

วีลเนิฟว์ได้กล่าวว่า เพื่อกำจัดแรงกดดันจากความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น เราต้องยอมรับว่า ความล้มเหลวสามารถเกิดขึ้นได้ จากนั้นก็ให้ความสำคัญกับความล้มเหลวน้อยลง และจงใส่ใจต่อการสร้างสรรค์ ซึ่งนั่นเป็นวิธีเดียวที่เราจะสามารถครีเอทีฟได้อย่างไร้ขอบเขต


3. นำวิธีการครีเอทีฟหนังสเกลเล็กมาใช้กับหนังสเกลใหญ่

วีลเนิฟว์เติบโตมาจากหนังอินดี้สเกลเล็ก ก่อนมาทำหนังที่มีสเกลใหญ่ และแม้ว่าเขาจะได้มากำกับหนังฟอร์มยักษ์ในปัจจุบันอย่าง Dune แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่วีลเนิฟว์ไม่เคยทิ้งมันไปก็คือ ‘จิตวิญญาณของผู้กำกับหนังอินดี้’

เขาสร้างหนังด้วยการให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังวิจัยตัวละครอย่างใกล้ชิด และถ่ายทอดฉากอย่างสวยงามออกมาเสมือนภาพยนตร์เป็นโรงละคร ซึ่งแต่ละฉากที่บรรจงสร้างออกมา ก็สร้างมาด้วยแนวคิดของความเป็นภาพยนตร์อินดี้ อาทิ การใช้สัญญะในหนัง หรือการถ่ายทำที่ใช้แสงเงากลบจุดที่ไม่เนียนของหนังเพื่อเซฟต้นทุน

เพราะวีลเนิฟว์ซื่อสัตย์ต่อรากฐานที่ทำให้เขาเป็นเขาอย่างทุกวันนี้ นั่นทำให้วีลเนิฟว์แทบจะเป็นผู้กำกับเพียงน้อยนิดของฮอลลีวูดที่ทำหนังแล้วไม่เคยได้รับคำวิจารณ์แย่เลย


4. เปลี่ยน Story Telling ให้กลายเป็นบทกวี

แน่นอนว่า Story telling คือสิ่งสำคัญในทุกศาสตร์ เพราะมันคือหัวใจสำคัญที่เชื่อมเป้าหมายกับเราให้เข้าใกล้กันมากขึ้น ซึ่งวีลเนิฟว์กล่าวว่า การที่คนไปดูหนังก็เพราะทุกคนประทับใจในความเป็นบทกวีของภาพ

กวีนิพนธ์ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของภาพยนตร์อย่างไม่ต้องสงสัย หากเราพูดคุยกับแฟนหนัง แต่ละคนก็จะมีฉากหรือช่วงเวลาสำคัญที่จำได้อยู่ในใจ เพราะฉากเหล่านั้นคือบทกวีที่ดึงคนไว้ให้ประทับจิตกับหนัง

Storytelling ของภาพยนตร์มีความหมายที่ลึกซึ้ง ซึ่งถูกควบคุมโดยการเคลื่อนไหวของกล้อง แสง การออกแบบ และองค์ประกอบที่สร้างความหมายที่มองไม่เห็น ซึ่งสำหรับวีลเนิฟว์แล้วสิ่งเหล่านี้คือบทกวี


5. ดึงคนให้มีอารมณ์ร่วมด้วยความตึงเครียด

วีลเนิฟว์เป็นที่รู้จักกันดี ในการสร้างความตึงเครียดที่ดึงดูดคนดู ถ้าเราได้ดูหนังเรื่อง Sicario ของเขา ก็จะพบว่าตัวละคร อยู่ในสถานการณ์อันตึงเครียดซึ่งผ่านไปได้ยากตลอดเรื่อง จนคนดูต้องเอาใจช่วยตลอดเวลา

วีลเนิฟว์กล่าวว่าองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของความตึงเครียดก็คือ เราต้องทำให้ผู้คนเชื่อมโยงกับการเล่าเรื่องผ่านจิตใต้สำนึก ฉะนั้นแล้วเราต้องทำให้เรื่องราวมีชีวิตขึ้นมา ไม่ว่าจะผ่านแสง อุปกรณ์ประกอบฉาก หรืออะไรก็ตามที่ทำให้รู้สึกเหมือนจริง 

“เราต้องนำบางสิ่งมาใส่ในหนังเพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเกี่ยวข้อง จากนั้นก็ให้เบาะแสกับพวกเขา เพื่อสร้างความสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งนั่นจะทำให้ผู้ชมประหลาดใจกับสิ่งตรงหน้า” เดอนีส์ วีลเนิฟว์


ภาพยนตร์ก็เหมือนเฉกเช่นธุรกิจอื่น มันคืออุตสาหกรรมที่ใช้การเล่าเรื่องกับความครีเอทีฟ มาเป็นดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาหา และบางครั้งการเรียนรู้วิธีคิดจากคนในอุตสาหกรรมนี้ ก็ทำให้เราเอาไอเดียมาต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจของเราได้


แปล เรียบเรียง: พีรพล สดทรัพย์

ที่มา

trending trending sports recipe

Share on

Tags