‘Microshifting’ เทรนด์ทำงานมาแรงในสหรัฐฯ ข้อมูลจาก State of Hybrid Work โดย Owl Labs

What’s Trending ภาพรวมการทำงานในปัจจุบันปี 2025 - 2026 อะไรกำลังมาแรง! เรื่องไหนที่บริษัทต้องให้ความสนใจ อ้างอิงจาก State of Hybrid Work (Owl Labs) ในสหรัฐอเมริกา

Last updated on พ.ย. 29, 2025

Posted on พ.ย. 18, 2025

เทรนด์การทำงานวันนี้ ไม่ใช่แค่ ‘ทำงานที่ไหนก็ได้’ อีกต่อไป แต่เทรนด์ที่มาแรงในสหรัฐอเมริกาคือ “เราจะทำงานเมื่อไหร่ก็ได้” หรือ Microshifting 

มีข้อมูลน่าสนใจจาก Owl Labs จาก Report: State of Hybrid Work ประจำปีครั้งที่ 9 โดยการสรุปเทรนด์ล่าสุดถึงภาพรวมการทำงานและมองไปข้างหน้าว่าจะเกิดอะไรต่อไป จากการไปสำรวจพนักงานประจำในสหรัฐอเมริกา 2,000 คน อายุ 18 ปีขึ้นไป จากบริษัทที่มีพนักงานตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป 

สิ่งที่น่าสนใจคือเกือบครึ่งบอกว่าตัวเองไม่มีความยืดหยุ่นพอเรื่องเวลาในการทำงาน ดังนั้นหนึ่งในสวัสดิการที่พวกเขาอยากได้ ทาง Owl Labs เรียกว่า “microshifting” พูดง่าย ๆ คือ การแบ่งเวลาวันทำงานให้เหมาะกับตัวเอง ซึ่งระหว่างวันก็แวะไปทำธุระ หรือพักชาร์จพลังสัก 1-2 ชั่วโมง เมื่อจำเป็น แล้วกลับมาทำงานต่อเมื่อเวลาลงตัวที่สุด

มีข้อมูลที่น่าสนใจโดยย้อนไปปี 2022 นักวิจัยของ Microsoft ที่ดูข้อมูลการใช้งานผลิตภัณฑ์ของบริษัท พบว่ามีการเพิ่มขึ้นของสิ่งที่เรียกว่า “triple-peak day” พนักงานมีการใช้งานคอมพิวเตอร์สูงขึ้น โดยเฉพาะก่อนและหลังมื้อกลางวัน และยังมียอดพีคที่สามเกิดขึ้น ช่วงเงียบ ๆ ก่อนเข้านอน หลายคนกลับมาเปิดคอมช่วง 3 - 4 ทุ่ม นักวิจัยของ Microsoft เรียกพฤติกรรมกลับมาเปิดแล็ปท็อปตอนดึกนี้ว่า “triple-peak day” โดยนักวิเคราะห์ของ Owl Labs อาจมองตัวเลขเดียวกันว่าเป็นหลักฐานของ Microshifting นั่นเอง

ปฎิเสธไม่ได้ว่าช่วงโควิดหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดการเติบโตของการทำงานแบบ Hybrid และ Remote  ได้เปลี่ยนวิถีที่พนักงานจัดการเวลาและกำหนดขอบเขตของวันทำงาน แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแค่ Microshifting แต่ยังมีข้อมูลและสถิติอื่น ๆ อีกมากมายที่น่าสนใจจากรีพอร์ตฉบับนี้ โดยวันนี้ทาง CREATIVE TALK ได้รวบรวมสถิติที่น่าสนใจสำหรับ Report State of Hybrid Work มาฝากกัน 


89% พนักงานที่ทำงานแบบไฮบริด นำ AI มาใช้ในการทำงาน เมื่อเทียบกับพนักงานทำงานในออฟฟิศประจำอยู่ที่ 80% และพนักงานรีโมต 61%

65% พนักงานมีความสนใจ Microshifting หรือการแบ่งงานเป็นช่วงสั้น ๆ พักระหว่างวันได้ มีความยืดหยุ่น ให้สอดคล้องกับภารกิจ และพลังงานในแต่ละวัน

35% หลายคนทำ calendar blocking หรือ บล็อกเวลาในปฏิทิน เพื่อปกป้องเวลางานของตัวเอง โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Millennials มากถึง 61% รองลงมาคือ Gen X 22%

28% ของพนักงานบอกว่า หลายคนรับงานเสริมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง รวมไปถึงคน Gen Z (38%) และ Millennials (31%) มีโอกาสมีงานเสริมมากกว่า Gen X (20%) และ Boomers (13%) อย่างชัดเจน โดยเหตุผลสำคัญที่คนส่วนใหญ่มีงานเสริมคือ ‘ต้องการรายได้เพิ่ม เพื่อจ่ายค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น’

เรื่องของ Coffee badging หรือการเข้าออฟฟิศพอให้เห็นหน้า แล้วกลับไปทำงานที่บ้านต่อ ซึ่งกำลังแพร่หลาย โดยคนทำงาน 43% ทำอยู่แล้ว และอีก 12% ตั้งใจจะลอง

มีข้อมูลที่น่าสนใจเพิ่มเติมคือ 37% ของคนทำงานยอมรับว่าเคยโพสต์แง่ลบเกี่ยวกับงาน/บริษัทในโซเชียลมีเดีย และ 44% บอกว่าความเห็นทางการเมืองของนายจ้างหรือเพื่อนร่วมงาน ทำให้ไม่อยากไปออฟฟิศ

เทรนด์ที่ยังคงอยู่ และคาดว่าจะยังคงอยู่ต่อไปอย่าง Work-to-rule (23%) หรือการทำงานเท่าที่ระบุไว้ในหน้าที่งาน เคร่งครัดตามชั่วโมงสัญญา ยังคงมาเป็นอันดับต้น ๆ รองลงมาน่าสนใจมาก เพราะคนยุคใหม่เริ่มให้ความสำคัญกับเวลามากขึ้น ซึ่ง Clock-blocking/Calendar blocking (19%) ถือเป็นอีกเทรนด์ที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ


เจาะลึก Inside employee เบื้องหลังความคิด และความคาดหวังของพนักงานโดยส่วนใหญ่ โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ 

ส่วนที่ 1: ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในชีวิตการทำงานของพนักงานโดยส่วนใหญ่

  • 91% ค่าตอบแทน/เงินเดือน
  • 89% ผู้จัดการที่สนับสนุนทีม
  • 89% สวัสดิการ
  • 85% ความเป็นธรรมด้านค่าจ้าง
  • 85% เทคโนโลยีที่ดี เข้าถึงได้
  • 84% โอกาสเติบโต
  • 83% มีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น
  • 82% มีวันทำงานที่ยืดหยุ่น
  • 79% มีสถานที่ทำงานที่ยืดหยุ่น
  • 78% รู้สึกเชื่อมโยงกับพันธกิจ/เป้าหมายของบริษัท
  • 78% มีโต๊ะ/พื้นที่ทำงานส่วนตัว
  • 77% โอกาสเรียนรู้/พัฒนา
  • 74% มิตรภาพ/ความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงาน
  • 71% ระเบียบการแต่งกายยืดหยุ่น/ไม่เคร่ง
  • 71% สภาพแวดล้อมออฟฟิศน่าอยู่
  • 70% ทำงานสัปดาห์ละ 4 วันได้
  • 69% โอกาสได้รับการโค้ช/พี่เลี้ยง

ส่วนที่ 2: สวัสดิการที่ดึงดูดใจมากที่สุดจากนายจ้างที่กำลังพิจารณา (ในสหรัฐอเมริกา)

  • 34% ชั่วโมงทำงานยืดหยุ่น
  • 27% สัปดาห์ทำงาน 4 วัน
  • 26% เงินออมเพื่อเกษียณ/สมทบ เพิ่มขึ้น
  • 25% ประกันสุขภาพที่ดีกว่า/จ่ายไหวกว่า
  • 24% วันลาหยุด (PTO) ไม่จำกัด
  • 22% เลือกสถานที่ทำงานได้ยืดหยุ่น
  • 19% การดูแลสุขภาพจิต/สวัสดิภาพ
  • 19% สวัสดิการทำงานจากบ้าน/เบี้ยสนับสนุน
  • 13% สวัสดิการเดินทาง
  • 13% อาหารกลางวันฟรี
  • 13% การฝึกอบรม/พัฒนาอาชีพที่มากขึ้นและดีกว่า
  • 9% โอกาสมีพี่เลี้ยง/เมนเทอร์
  • 7% วันไร้ประชุม
  • 7% สนับสนุนค่าเลี้ยงดูบุตร/เบี้ยเลี้ยง
  • 7% พื้นที่ทำงานที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง
  • 5% ลาคลอด/ลาเลี้ยงดูบุตรนานขึ้น
  • 4% พื้นที่เกมในออฟฟิศ
  • 3% ลาพักงานยาว เพื่อไปทำภารกิจที่สำคัญ (Sabbaticals)

ส่วนที่ 3: เหตุผลของ ‘ความกังวลหลัก’ ในที่ทำงาน มีอะไรบ้าง

  • 50% พบว่าโอกาสเติบโตในอาชีพจำกัด
  • 47% ไม่ได้ความยืดหยุ่นที่ต้องการ
  • 47% กังวลความมั่นคงของงาน
  • 47% มักถูกติดตามระหว่างการทำงาน
  • 46% ถูกบังคับให้อยู่ในออฟฟิศเต็มเวลา
  • 46% ขาดการสนับสนุนด้านไอที/เทคนิค
  • 45% พนักงานแบบรีโมต รู้สึกไม่ได้ถูกเห็น หรือ มีส่วนร่วมในที่ประชุม
  • 44% ขาดการโค้ช/พี่เลี้ยง
  • 44% ไม่ผูกพันกับงาน
  • 44% ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน/งานข้ามทีม
  • 42% ถูกบังคับให้ย้ายใกล้ออฟฟิศ/สำนักงานใหญ่
  • 40% การเริ่มใช้ AI ในที่ทำงาน
  • 36% ไม่เคยพบหัวหน้าตัวจริง มักเกิดขึ้นในองค์กรใหญ่

โดยสรุปในปี 2025 - 2026 ที่กำลังจะถึงนี้ สถานที่ทำงานกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา พนักงานเริ่มใช้เครื่องมือใหม่อย่าง AI ในการทำงาน และปรับตารางงานที่ยืดหยุ่น รวมถึงมีการทำงานเสริมมากขึ้น 1 อาชีพไม่เพียงพออีกต่อไป และในขณะเดียวกันก็ต้องรับมือความเครียดทางสังคม และความตึงเครียดทางการเมือง รวมไปถึงภาระการดูแลคนในบ้าน 

💡
ถือเป็นอีกปีที่มีความท้าทายทั้งตัวพนักงาน และองค์กรอย่างมาก หากองค์กรไหนที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น เทคโนโลยีที่เข้าถึงได้ และให้การสนับสนุนพนักงานทั้งด้านทักษะ และจิตใจ องค์กรนั้นจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากที่สุด!

แปล เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ

ที่มา

trending trending sports recipe

Share on

Tags