เรารู้แต่ก็ยังทำอยู่…..
👉 วิ่งไล่ตามความฝัน…แต่ไม่รู้ว่าฝันคืออะไร
👉 เราทำทุกอย่าง…ถูกต้องแบบที่ใครบอกไว้
👉 หรือสุดท้ายคนแปลกหน้าในร่างของตัวเอง
เบื้องหน้าสร้างความสุข แต่เบื้องหลังกลับสร้างรอยร้าวให้กับชีวิต ปั๊บ POTATO ศิลปินผู้เติบโตจากความคาดหวังของสังคมและบาดแผลในชีวิต
พัฒน์ชัย ภักดีสู่สุข หรือ “ปั๊บ โปเตโต้” ซึ่งปีนี้เข้าสู่ปีที่ 25 ในอาชีพนักร้อง–นักดนตรี เรียกได้ว่าใน 1 เดือน พี่ปั๊บมีโชว์ 10-15 โชว์ ซึ่งทำแบบนี้เรื่อยมานานกว่า 20 ปี นับว่าพี่ปั๊บได้สร้างความสุข สร้างรอยยิ้ม และความอิ่มเอมผ่านเสียงดนตรีให้กับคนทุก Generation มาอย่างยาวนาน แต่บางครั้งความสุขเหล่านั้น เราไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า เบื้องหลังการทำงาน มันถูก ‘วัดคุณค่า’ และแรงกดดันมากน้อยแค่ไหน
พี่ปั๊บเล่าให้ฟังว่าในอดีต ศิลปินมักถูกวัดค่าจาก “ตัวเลข” ไม่ว่าจะเป็น ยอดขายแผ่น CD, ยอดดาวน์โหลดดิจิทัล (MP3), ท็อปชาร์ตในคลื่นวิทยุต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งยอดคนดูในคอนเสิร์ต และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งท้ายที่สุดมันก็จะวน ๆ อยู่กับเรื่องตัวเลข ซึ่งเอาเข้าจริง คนทำงาน Digital ยุคนี้ก็มักจะเผชิญเหตุการณ์คล้าย ๆ กัน ทั้งยอด View, ยอด Like, ยอด Comment, ยอด Share จนไปถึงก้อนใหญ่ ๆ อย่าง OKR และ KPI ที่มากำหนดชะตาชีวิตของเราในการทำงาน
“มันเจ็บปวดนะ! การถูกวัดคุณค่าการทำงาน ด้วยเพียงแค่ตัวเลข มักสร้างรอยแผลทางใจให้กับใครหลายคน”
พี่ปั๊บเองมักจะโดนบ่อย ๆ เวลาไปเล่นคอนเสิร์ตว่าเรามีจำนวนงานจ้างมากหรือน้อย ไหนจะการเปรียบเทียบจากคนอื่น คนนั้นมีงานจ้างเยอะ คนนี้มีงานจ้างน้อย ซึ่งในท้ายที่สุดพี่ปั๊บเองก็ต้องรีบเร่งสปีดตัวเอง เพื่อทำยังไงก็ได้ให้เป็นที่ยอมรับ ซึ่งความรู้สึกที่ต้องรีบเร่ง ถูกกดดันในทุกวัน เสมือนลู่วิ่งที่ไม่มีวันที่สิ้นสุด ซึ่งมันสร้างความกลัวพอกพูนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในตัวพี่ปั๊บ
เรื่องราวที่ดูจะมืดมนนี้ยังไม่จบสิ้น แต่โชคชะตาค่อย ๆ พบพาให้เราได้ค้นพบอะไรบางอย่างในช่วงสถานการณ์ Covid 19
จุดเปลี่ยนสำคัญที่พลิกชีวิตของพี่ปั๊บ คือช่วงเวลาคอนเสิร์ตเมื่อปี 2019 นั่นคือคอนเสิร์ต POTATO Magic Hours Concert เล่นที่ IMPACT Arena 2 รอบ แถมบัตรยังขายหมดด้วย แต่ก่อนที่คอนเสิร์ตจะเริ่มแน่นอนว่าความกังวลว่าบัตรจะขายหมดไหม เกิดขึ้นเสมอ เนื่องจากวง POTATO เองก็ไม่ได้พีคแบบในยุคก่อน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นสำคัญคือ ‘พี่ปั๊บเริ่มเกิดคำถาม’ ทั้ง ๆ ที่ในคอนเสิร์ตคนดูมีความสุข วง POTATO ทุกคนก็แฮปปี้ คำถามที่มันผุดขึ้นมาในใจพี่ปั๊บคือ “เรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ และมันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนกันนะ”
จนกระทั่งช่วงเวลาที่มันเริ่มเกิดคำถาม มันก็พาพร้อมกับสถานการณ์ช่วง Covid 19 เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะประสบพบเจอไม่แตกต่างกัน จากเดิมที่เราต้องออกไปวิ่ง ทุกอย่างก็ถูกหยุดลง จนกลายเป็นว่าจากคนที่วิ่ง เป็นหมาล่าเนื้อมาทั้งชีวิต ต้องออกไปร้องเพลง ออกไปเจอผู้คน กลับต้องมาหยุดนิ่งเสมือนถูกปิดกรงกักตัวอยู่บ้าน ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกนี่แหละ คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้พี่ปั๊บต้องทบทวนตัวเอง
พี่ปั๊บเล่าว่าในช่วงเวลาแบบนี้พยายามคิดบวกตลอดเวลา การที่เราหยุดนิ่งแบบนี้ เราดีไม่พอหรือเปล่า ยังเป็นที่ยอมรับไม่พอ ไม่เป็นไรเราตั้งใจมัน พัฒนามันไปเรื่อย ๆ จึงทำให้เกิดเส้นบาง ๆ ระหว่าง ‘การคิดบวก vs หลอกตัวเอง’ ซึ่งมันใกล้กันมาก จนทำให้พี่ปั๊บเริ่มจม จม จม…ดิ่งกับตัวเองไปมาก จนเริ่มเห็นแผลตัวเองที่ชัดเจนขึ้น มองเห็นความน่ารังเกียจของตัวเองชัดขึ้นเรื่อย ๆ มองเห็นความโกรธ ความอิจฉา เป็นรูปธรรมชัดเจน ซึ่งในวันนั้นพี่ปั๊บยอมรับว่าไม่สามารถควบคุมได้
“ถ้าให้เปรียบเทียบมันเหมือน จุดดำในกระดาษสีขาว ที่ใคร ๆ มักบอกว่าอย่าไปโฟกัสที่สีดำ มันมีพื้นที่สีขาวสดใสให้มองตั้งมากมาย”
ไม่จริงเลยครับ ตอนที่เราไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ตอนที่เราจมดิ่ง เรามักจะโฟกัสจุดดำเสมอ พี่ปั๊บมองมันที่จุดสีดำนี้อย่างตั้งใจ พิจารณามัน และมันไม่ได้มีจุดเดียวด้วย มันยังมีอีกมากมาย นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้พี่ปั๊บต้องรีบกลับมาพิจารณาตัวเองอย่างจริงจัง
จากความมืดมน สู่ความเจ็บปวด แต่บทเรียนสำคัญคือ คนที่ไม่หยุดเฉย แล้วพร้อมจะลุยไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ คือคนที่จะไม่มีวันพบเจอความล้มเหลว
พี่ปั๊บเริ่มตั้งสมาธิ ใช้คำว่าบ้าคลั่งเลย ไหนจะเดินทางท่องเที่ยว, มูเตลู หรือเล่นแฮนด์แพน (Handpan) ทำทุกวิถีทางที่จะรักษาความรู้สึกนี้ อยากหายจากมันจริง ๆ จากการทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจมั่น ทำให้ได้ค้นพบสิ่งสำคัญที่สุดนั่นคือ
“ผมไม่เคยภูมิใจในตัวเองเลย เราเอาความภูมิใจไปฝากไว้ในสังคม อะไรที่คนอื่นบอกว่าดี เราถึงจะรู้สึกดี แต่กลับกันผมไม่ได้รู้สึกดีกับสิ่งที่ตัวเองทำ โดยเฉพาะจมอยู่กับความรู้สึกที่บอกว่าตัวเองไม่ดีพอ”
ในวันที่พี่ปั๊บค้นพบ ยอมรับกับความจริงนี้ได้ มันจึงค่อย ๆ ดีขึ้น จากคนที่หลอกตัวเองมาโดยตลอด ค่อย ๆ สนุกขึ้น ยอมรับมันทีละเล็ก ทีละน้อยว่ามนุษย์เราไม่ได้สมบูรณ์แบบ จนกระทั่งคำตอบมันชัดเจนมากขึ้น ก็ตอนมีลูก มาจากเด็กทารกคนหนึ่ง พี่ปั๊บเริ่มสังเกตตั้งแต่วันที่เขาเป็นเมล็ด ยังเล็ก ๆ มาก จนออกมาก้อนเนื้อนั้นหนัก 3 กิโล ร้องลั่นห้อง นั่นแหละคือวันที่พี่ปั๊บกล้าพูดได้เต็มปาก ว่าผมกำลังจะเป็นพ่อคนจริง ๆ แล้ว
การได้ใช้ชีวิตกับลูกมันค่อย ๆ ทำให้เขาคิดได้ว่า ชีวิตเด็กทารกคือสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยตัดสินอะไรเลยนิหว่า ไม่รู้ว่าผิดคืออะไร ถูกคืออะไร ศีลธรรมคืออะไร ศิลปะคืออะไร เขาไม่รู้เลย นี่คือพลังงานที่มันพุ่งออกมาหาพี่ปั๊บทุกวินาที มันเลยทำให้เรารู้สึกว่า ‘เรามักเป็นฝ่ายตัดสินไปเอง คิดมากไปเอง เรากดดันตัวเองเสมอ’ ซึ่งมนุษย์เรามันไม่ได้เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรก
“พอเห็นลูกของตัวเอง ก็ทำให้คิดได้ว่า เราเริ่มไว้วางใจกับอะไรบางอย่างมากขึ้น เราเริ่มอนุญาตให้ตัวเองรู้สึกแบบที่จริงใจมากขึ้น ไม่ฝืน ไม่เก็บ ยอมรับมันมากขึ้น และรู้สึกได้ว่าเราสำคัญกับโลกใบนี้น้อยลง”
จากคนที่คิดมากมาโดยตลอด ว่าทุกคนต้องหันมาสนใจฉัน เราต้องเป็นจุดศูนย์กลางของผู้คน จนวันนี้รู้ตัวได้อย่างถ่องแท้ว่าเราไม่ได้สำคัญขนาดนั้น แต่ไม่ได้แปลว่าเราไม่มีความหมายกับชีวิตนะ เราแค่เข้าใจมันอย่างเข้าใจจริง ๆ เรายอมรับ เราซื่อตรงกับจิตใจข้างในมันมากขึ้น ถ้าให้เปรียบเทียบมันเหมือนคอนเสิร์ตล่าสุดที่ผมทำไป
ถึงเวลายอมรับรอยร้าวในตัวเอง มันไม่เป็นไรเลย...ที่จะไม่เป็นไปตามสิ่งที่คนอื่นบอก ไม่ต้องทำเพื่อตัวเลข ไม่ต้องทำเพื่อปริมาณ ไม่จำเป็นต้องทำเมื่อคนอื่นบอกให้ทำ
เปรียบเทียบสิ่งนี้เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน นั่นคือคอนเสิร์ตล่าสุด Chang Music Connection presents POTATO HEAD CONCERT คือครั้งแรกที่เราทำคอนเสิร์ตโดยไม่ได้อิงจากจำนวนคน จำนวนบัตร มาเป็นตัววัดคุณค่า ต่อให้มีคนเท่าไหร่ แต่งานนี้เราต้องตั้งใจทำ ซึ่งมันตั้งใจกันคนละแบบกับในอดีต
ในอดีตเราตั้งใจเพื่อให้คนรัก แต่วันนี้เราตั้งใจเพื่อจะละเมียดกับมันอย่างไร ให้คนที่มาฟังได้เข้าถึง และเข้าใจคุณค่าของเราในวันนี้ มันจะเริ่มเห็นรายละเอียดมากขึ้น วันนี้พี่ปั๊บเห็นความตั้งใจคนทำงานมากขึ้น เห็นทีมเบื้องหลัง ทีมไฟ, ทีม Stage, ช่างภาพ ผมเห็นทุกคนตั้งใจมาก นี่แหละครับ มันก็ยิ่งทำให้เห็นว่า “ความวางใจเป็นสิ่งสำคัญ”
“มันไม่เป็นไรเลย ที่เราจะไม่เป็นไปตามสิ่งที่คนอื่นมอง ไม่มีใครเรียบเนียนสวยงาม ทุกคนมีรอยร้าว ไม่ต้องพยายามให้มันเรียบ พวกเราไม่ต้องสมบูรณ์แบบ ไม่ต้องลบทุกรอยร้าวในชีวิต”
“อย่าเอาคำว่าต้องดี ไปกลบสิ่งที่มันเป็นรอยร้าว
เพราะบางที รอยร้าวมันก็งดงามในแบบของมัน
และเพราะรอยร้าวที่ผ่านมาทำให้ตัวเรา เป็นตัวเราที่ดีขึ้นได้ในวันนี้”
นี่แหละครับคือชีวิตของ “ปั๊บ โปเตโต้” เชื่อว่าใครก็ตามที่ได้อ่านเรื่องราวนี้ จะสามารถผ่านพ้นความรู้สึกแบบนี้ หรือใกล้เคียงไปด้วยกันได้ เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่ยังเผชิญกับมัน เราเชื่อว่าทุกคนมีดีในแบบตัวเอง ❤️
เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ