รวมวิธีคิดจากคนทำจริง กับ 4 แบรนด์ยุคใหม่ ในงาน Scale Fast Summit & Expo

อย่าหลอกลูกค้าด้วยสิ่งที่คุณให้จริงไม่ได้ เริ่มจากสินค้าดี จริงใจ เป็นตัวจริง! รวมวิธีคิดจากคนทำจริง กับ 4 แบรนด์ยุคใหม่ ในงาน Scale Fast Summit & Expo

Last updated on ก.ย. 30, 2025

Posted on ก.ย. 30, 2025

แบรนด์ HAAB

หนึ่งในแบรนด์ขนมไข่ที่อร่อยไม่มีแผ่ว เมื่อขนมไข่ท้องถิ่นเติบโตไว ทัชใจคนไทยทั้งประเทศ เขาทำได้อย่างไร ?

🔸 ชีวิตคนเราไม่อาจจะเลือกได้ขนาดนั้น ว่าจะได้ทำสิ่งที่อยากทำ ซึ่งคุณทัพไทย เจ้าของธุรกิจแบรนด์  HABB แต่เดิมที ไม่ได้สนใจ หรือ อยากทำธุรกิจอาหารเลย เนื่องจากความเชื่อของเขาคือ E-Commerce และ Data Driven มากกว่า

🔸 จุดเริ่มต้นของแบรนด์ HABB เริ่มจากคุณมอส ซึ่งเป็นคนสงขลา จากความชอบในวันนั้น เคยถูกยกเลิกไปครั้งนึง เนื่องจากไม่มี Demand ในตลาดช่วงเวลานั้น

🔸 จากจุดที่เคยถูกยกเลิกไป แต่ในจุดนึงก็ได้ดึงโปรเจกต์ HABB กลับมา โดยคำนึงจาก Data และ Demand ที่เกิดขึ้นในตลาดยุคนี้ ซึ่งสิ่งสำคัญคือการคำนึงถึง “ ยอดขายที่เกิดขึ้นจริงในการจะทำธุรกิจนี้จริงไหม” โดยเริ่มต้นจากการเปิดร้านแรก ๆ จาก Budget 20K และงบ Marketing 10K

🔸 ยอดขายในวันแรกของ HABB จาก 2,000 บาทแรก สู่การ เพิ่มขึ้นเป็นหลักหมื่นตามมา ด้วยการบอกต่อจากลูกค้า รสชาติความอร่อย กลิ่นที่หอมชวนให้ซื้อ จนกระทั่งคุณทัพไทยเริ่มขายดี แล้วจึงนำโมเดลมาจับ Channel expansion หรือ โมเดลที่จะขยายช่องทางการขาย ทำให้แบรนด์เกิด Reach เยอะขึ้น มีการขายช่องทาง Delivery มากขึ้น รวมไปถึงไปออกอีเวนต์เพิ่มขึ้น 

🔸 How we Scale ของแบรนด์ HABB มีอยู่ด้วยกัน 4 ส่วน

  1. Store Rollour
  2. Delivery Platform
  3. Online Selling
  4. Dynamic Event

🔸 Turning Points ของ HAAB เกิดจาก Dynamic Event หรือเกิดจาก 2 ส่วนนี้ Branding Development และ Full Scale Event นั่นเอง ซึ่งปีที่ผ่านมา HAAB ไปมากว่า 205 อีเวนต์ ด้วยการ Test ว่าดีจริงหรือไม่ 

🔸 การไปห้าง ไปเปิดอีเวนต์เยอะ ๆ จะทำให้เรารู้ว่ากลุ่มลูกค้าเราอยู่ตรงไหน แม้จะไม่เน้นกำไรในการไปเปิด แต่ต้องไม่ขาดทุน และต้องได้ข้อมูลจากลูกค้าว่าเขาอยู่ตรงนั้นจริง ๆ หรือไม่ 

🔸 อีกเทคนิคที่น่าสนใจคือการทำ Collaboration ซึ่งเป็นการยืนระยะแบรนด์ได้ดี และทำให้เป็นที่รู้จัก ทุกวันนี้แบรนด์ HAAB ยังไม่เคย Drop ลง เนื่องจากมีการทำร่วมกับแบรนด์ใหม่ ๆ เสมอ

🔸 Business Direction ที่สำคัญของ HAAB ปีนี้ 400-500 ล้าน คำถามคือจะทำอย่างไรให้เราไปต่อได้อีก เราจะทำอย่างไรให้มัน Bigger ได้อีก คือใหญ่กว่านี้ได้อีก การจะเปลี่ยน 500 ล้าน เป็นพันล้านได้ มันต้องมีกลยุทธ์ อันดับแรกคือ เราต้องเป็น Regional Expansion & Scale ในวันนี้แบรนด์ HAAB ค่อนข้างแข็งแกร่งในพื้นที่กรุงเทพ แต่เรายังต้องไปต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งเทคนิคที่จะไปได้เร็วคือการเปิด Domestic Growth Via Franchise Model 

🔸 ในวันนี้แบรนด์ HAAB มีอยู่ที่มาเลเซีย ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่จะก้าวเข้าสู่ระดับโลก ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการทำธุรกิจ 


แบรนด์ La Glace

อีกหนึ่งแบรนด์ขวัญใจเด็ก GenZ ที่เข้าใจ GenZ อย่างแท้จริง กับเบื้องหลังการบริหารอย่างสร้างสรรค์ 

🔸 จุดเริ่มต้นของแบรนด์ La Glace คือไม่ได้มีต้นทุนขนาดนั้น โดยคุณไอติม และคุณเฟรนช์ฟรายส์ CEO จาก La Glace ได้คุยกันในการจะเปิดธุรกิจ ซึ่งจุดที่เริ่มต้นทำ La Glace เกิดจากความหน้าผ่องของคุณไอติม ซึ่งแว๊บแรกที่เริ่มเปิด ขายไม่ได้เลย! แต่ในจังหวะที่เป็นจุดเปลี่ยนจริง ๆ คือ ‘แพ็กเกจมันเชย’ มันไม่ทันสมัย แล้วขายกลุ่มวัยรุ่น ซึ่ง Feedback นี้มาจากเพื่อนของทั้งสองท่าน

🔸 หลังจากนั้น La Glace ก็สำเร็จขึ้นซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแพ็กเกจใหม่ และสะสมฐานลูกค้ามา ซึ่งในสมัยนั้นจะทักเข้ามาใน LINE เลยทำให้ La Glace มีฐานลูกค้าที่พร้อมนั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้สำคัญ ในวันที่เรายังไม่สำเร็จ การมีฐานลูกค้าของแบรนด์สำคัญมาก 

🔸 ในวันเริ่มแรก คุณไอติม คุณเฟรนช์ฟรายส์เอง ไม่ได้รู้จัก 4P ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่เขารู้คือ Voice คืออะไร Noise คืออะไร แล้วค่อย ๆ Develop มาเรื่อย ๆ จากการรับฟังลูกค้า ซึ่งถือเป็นคีย์ Success สำคัญของแบรนด์ La Glace ที่เกิดขึ้นมาได้ในวันนี้ เกิดจากการรับฟังลูกค้า

🔸 ความแตกต่างของ La Glace ที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ได้คือ “การส่งสารความมั่นใจให้กับลูกค้า” ความมั่นใจเปรียบเสมือนไวรัสและส่งต่อกันได้ มันเป็นมากกว่าแค่ขายเครื่องสำอาง แต่การทำคอนเทนต์ต่าง ๆ ของ  La Glace ได้ส่งต่อพลังนี้ ทำให้เรามีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง จากความมั่นใจที่แบรนด์ส่งต่อ ในวันนี้ La Glace ขายความรู้สึก ไม่ใช่แค่ Product แต่เพียงเท่านั้น

🔸 La Glace ไม่เคยคิดว่าเราจะทำแคมเปญตอนไหน แต่มันเกิดจากการทำความเข้าใจกลุ่มลูกค้า ว่าตอนนี้ลูกค้าสนใจอะไร และกำลังอยู่ในแพลตฟอร์มไหน  และที่สำคัญลงลึกไปจนถึงเงื่อนไขแต่ละแพลตฟอร์ม ดังนั้น ทุกทีมของ La Glace ทุกคนจะลงลึก และเป็นทีมงาน GEN Z ซึ่งตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้า GEN Z ซึ่งเรื่องนี้สำคัญ การมี Data เป็นเรื่องจำเป็น แต่การจะเอา Data มาใช้ให้เกิดประโยชน์สุด เราต้องพูดภาษาเดียวกับลูกค้า ซึ่งคีย์สำคัญคือ GEN Z คือคำตอบของเรื่องนี้ 

🔸 ทีมคอนเทนต์ของ La Glace นับเป็นทีมที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท และ La Glace ค่อนข้างให้ความสำคัญกลุ่มนี้มาก ๆ โดยคุณไอติมบอกเลยว่า เราจะเลือกใครเข้ามาทำงาน เราต้องหา Avenger ทีม หาคนที่มี Growth Mindset มองความเป็นไปได้เสมอ และต้องเป็นผู้ให้ ทำให้เขาสามารถสาดไอเดียได้เต็มที่ 

🔸 ความดื้อไม่ได้เกิดจาก Generation ใครที่บอก GenZ ดื้อไม่จริง ทุก Gen ดื้อเสมอ แต่ถ้าเราหาความต้องการ ทำ Mood ของทีมงานที่ชัดเจน เขาจะเปลี่ยนจากความดื้อ เป็นความเชื่อใจกัน อย่างทีม La Glace เองก็ผลักดันน้อง ๆ ให้ออกโซเชียล ให้ได้กล้าแสดงออก ได้ทำในสิ่งที่อยากทำจริง ๆ ไม่ใช่ไปตั้งกรอบให้เขาจนเกินไป

🔸 พฤติกรรมของลูกค้ายุคนี้ค่อนข้าง Freestyle ซึ่งแบรนด์มีหน้าที่ทำให้ทุก touchpoint เกิดขึ้นจริง โดยในวันนี้ La Glace ไม่ได้เก่งแค่ในออนไลน์ แต่ออฟไลน์เองก็ตั้งเป้าปีนี้ไปถึง 15,000 สาขา 

🔸 คุณไอติม คุณเฟรนช์ฟรายส์ มี Keyword นึงเสมอคือ เราจะต้องชนะใจลูกค้าก่อน ก่อนจะมาชนะกันเอง เพราะเมื่อเราทำได้เกินความคาดหวังลูกค้า เราจะได้รับการสนับสนุนจากลูกค้า จนในวันนี้ลูกค้าขนานนามให้แบรนด์ La Glace ว่าเป็นแบรนด์ที่รักลูกค้าเท่าฟ้าไม่เกินจริง

🔸 สุดท้ายนี้ใครที่สนใจอยากมาทำกับ La Glace สิ่งสำคัญคือ คุณต้องกล้าคิด กล้าทำ คุณต้องสู้ คุณต้องไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ในวันนี้ La Glace อยากไประดับโลก ถ้าคุณไม่ได้มี Vision เดียวกันมันไม่ได้  แต่ถ้าคุณอยากเติบโต คุณต้องพิสูจน์ว่าคุณมี DNA ของ La Glace แบบเดียวกันหรือไม่ การมี DNA แบบเดียวกันสำคัญมาก เราต้องได้คนที่มีความสามารถที่แตกต่างได้ แต่ DNA ความเป็นแบรนด์ที่สู้ไปด้วยกันสำคัญมาก 


แบรนด์ Nuea Tae’s (เนื้อแท้)

อีกแบรนด์ที่หลายคนเคยชิม กับ เนื้อ+ เนื้อหา เบื้องหลังสูตรแซ่บการตลาดออนไลน์ที่ทำให้รักเนื้อแท้หัวทิ่มบ่อ เขาทำอย่างไร ?

🔸 ธุรกิจเนื้อแท้ เราโตมาจากการขายเนื้อชัดเจน ซึ่งในวันนี้การเติบโตจะไม่ใช่การเดินทางของร้านอาหารอย่างเดียว แต่เริ่มกลับมาโฟกัสวัตถุดิบอย่างเนื้อมากขึ้น

🔸 การจะทำธุรกิจ เนื้อแท้ ไม่ใช่เรื่องของความชอบส่วนตัวเท่านั้น แต่เราต้องทำเนื้อให้คนอื่นชอบด้วย คุณโตจากเดิมที่ต้องแต่งเพลงทำเพลง พลิกชีวิตตัวเองมาทำธุรกิจ มันคืออีกโลกเลย แต่สิ่งที่มันติดตัวคุณโตมาโดยตลอดตั้งแต่การเป็นศิลปิน มาจนถึงการทำธุรกิจ คือการไม่หยุดคิด ต้องสื่อสารให้ถูกต้อง ไม่โกหกใคร ซึ่งเรื่องนี้สำคัญ 

🔸 ตัวอย่างโปรดักต์ลูกชิ้นเนื้อแท้ คิดกันมานานถึง 7-8 ปีได้ ซึ่งกว่าจะปล่อยออกมามันถูกคิดค้นคุณภาพกันมานานมาก ไม่จบสักที เรียกได้ว่าทำมาก่อนร้านอาหารอีก โดยจุดที่ทำให้ลูกชิ้นเนื้อแท้สำเร็จ ไม่ได้แค่คุณภาพที่ดี แต่การไม่โกหกคนอื่น ไม่โกหกลูกค้า ในการ Communicate ออกไป คุณโตเน้นย้ำมากว่า ลูกชิ้นก็คือลูกชิ้น ของเราไม่ได้พิเศษกว่าใคร มันก็คือลูกชิ้น ถ้าเราโกหกตัวเอง โกหกคนอื่นว่าลูกชิ้นเราพิเศษ อย่างงั้นอย่างงี้ มันผิด แต่สิ่งที่คุณโตแฟร์คือ รสชาติอร่อย คุณภาพดี จริง ๆ 

🔸 คนที่จะประสบความสำเร็จในการทำโปรดักต์ชิ้นแรก มันไม่มีใครคิดว่าจะขายได้เท่าไหร่ แต่มันคิดจากความตั้งใจเสมอ แล้วถ้าเราซื่อสัตย์การทำของดี ความตั้งใจดี  เพราะของที่มันคือของจริง ๆ มันดีกว่าการปั้นน้ำเป็นตัว ซึ่งแบบนั้นมันไม่ยั่งยืน คำว่า ‘เนื้อแท้’ มันคือการไม่โกหกตัวเอง มันคือของแท้ เกิดจากความชอบจริง ๆ 

🔸 ถ้าไม่อร่อยสำหรับเราอย่าไปบอกคนอื่นว่าอร่อย อย่าทำการตลาดแบบไม่มีศาสตร์ จงจำไว้ว่า Ambience มันได้ความรู้สึก ทำโปรดักต์ที่จริงใจ จะง่ายในการสื่อสาร และทำการตลาดต่อได้อีกยาว ๆ  คุณโตได้พูดคำนึงไว้ว่า “อย่าเริ่มต้นจากการตอแหลในการทำธุรกิจ” แต่ต้องจริงใจ และแฟร์กับมัน เมื่อเราทำของดี ลูกค้าจะเชื่อความจริงใจเรา จะสื่อสาร จะทำการตลาด มันจะ Flow ขึ้น 

🔸 แผนก R&D ของทีมเนื้อแท้แข็งแกร่งมาก คุณโตพูดเลยว่าผมนี่แหละ R&D ถ้าไม่ผ่านก็ไม่ได้ออก ทำยังไงก็ได้ให้ผมชอบ มันไม่ใช่ว่าคุณโตเห็นแก่ความชอบตัวเอง แต่ R&D ที่ดี มันเกิดจากความเชื่อด้วย เนื่องจากความเชื่อมั่นในรสนิยมรสชาติของคุณโตทำให้คนในองค์กรเชื่อ การมีผู้นำที่เชื่อในสิ่งที่ดีที่สุด ไม่โกหกตัวเองสำคัญ

ซึ่งคุณโตบอกด้วยว่า ถ้าวันใดวันนึงมันไม่เวิร์กแล้ว คุณโตก็พร้อมจะเอาตัวเองออกมาเสมอ เพราะเราจะไม่โกหกตัวเอง และเชื่อในแบรนด์ ว่าเราเป็นเนื้อแท้ เป็นของแท้จริง ๆ 

🔸 ในอนาคตคุณโต และทีมเอง ก็ยังคงมีโปรเจกต์ใหญ่อีกมาก ไม่ว่าจะการนำวัวแดง ที่ถือเป็น Big Project โดยการที่ประเทศไทยมีโรงผลิตวัวได้เอง โดยทำเนื้อในไทย ด้วยวัตถุดิบไทย เพื่อไปสู่ระดับโลกได้จริง 


Shinkanzen

แบรนด์ที่ปัจจุบันปิดไปแล้ว 1,000 ล้าน กับร้านดังหลายร้านที่เข้าถึงคนเมือง และคนรุ่นใหม่ มาดูเส้นทางของ The Food Selection ถึงเส้นทางการเติบโต และเบื้องหลังวิธีคิดที่น่าสนใจ

🔸 The Food Selection ภายใต้แบรนด์ที่หลายคนรู้จัก Shinkanzen sushi, นักล่าหมูกระทะ, Nama  และล่าสุด Katsumidori ที่หลายคนชื่นชอบ 

🔸 จุดเริ่มของ The Food Selection เริ่มตั้งแต่ปี 2014 ในการเปิดร้าน Shinkanzen Sushi แถมมหาลัย และได้ขยายสาขาในปี 2016 เพิ่มอีก 2 สาขา ซึ่งประสบความสำเร็จมาก โดยจุดเปลี่ยนสำคัญคือ การไปเปิดร้านแถวมหาลัย มันมีปิดเทอม ซึ่งนั่นทำให้เกิดสนใจร้านในยูเนียนมอลล์ ลองไปเปิดในห้างดูบ้าง แต่จุดสำคัญจริง ๆ คือแบรนด์รู้อยู่แล้ว ว่า Target ที่้เดินรอบ ๆ คือ Target ของเขา และในที่สุดปี 2017 ก็ได้เปิดสาขาแรกในห้าง

🔸 ในปี 2018 เริ่มมีการวางครัวกลางชัดเจนขึ้น ตั้งแต่การแร่ปลาแซลมอน ทำน้ำจิ้มเอง ซึ่งเกิดจากปัญหาในแต่ละสาขารสชาติไม่เหมือนกัน จากการปรับเปลี่ยนเรื่องรสชาติให้สม่ำเสมอ ทำให้โครงสร้างการทำงานอยู่ตัว ในปีนี้เลยเกิดยอดขายสูงถึง 100 ล้าน เป็นปีแรก 

🔸 ในปี 2020 เจอพิษ Covid-19 เป็นอุปสรรคใหญ่แรกของแบรนด์น้องใหม่นี้ เพราะการทำร้านอาหารในช่วงโควิดปวดหัวมาก ตั้งแต่รัฐบาลประกาศโต๊ะเว้นโต๊ะ ทำให้เสียลูกค้าไปเกือบครึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้พลิกวิกฤตเป็นโอกาสจริง ๆ คือการปรับตัวไปขายใน Delivery มากขึ้น และเกิดยอดขายช่องทางนี้เพิ่มขึ้น

🔸 ในปี 2022 เริ่มมีการวางกลยุทธ์มากขึ้น มีการ Joint Venture กับกลุ่ม CRG หานักลงทุนเข้ามาช่วยมากขึ้น โดยข้อคิดที่น่าสนใจคือ การจะหานักลงทุนมาช่วย ‘โจทย์คุณต้องชัด’ โจทย์ของ The Food Selection คือการขยายสาขาไปทั่วประเทศ และในปีนี้เอง หลังจากร่วมกับเซ็นทรัล ทำให้ยอดขายพุ่งไปสู่ 1000 ล้าน

🔸 ในปี 2024 มีการเปิดซูชิสายพานอย่าง Katsumidori เป็นอีกหนึ่งกระแสสำคัญ โดยการดีลสิ่งนี้เกิดจากพาสเนอร์อย่างเซ็นทรัล แนะนำให้ เพราะ insight สำคัญในการไปนำแบรนด์ญี่ปุ่นมาเปิด มักจะต้องใช้คนญี่ปุ่นด้วยกันคุย  นี่แหละการมีพาสเนอร์ที่ดี จะช่วยส่งเสริมกัน ทำให้เกิดแบรนด์น้องใหม่ได้

🔸 การมีสาขาเยอะ Supply Chain Management สำคัญมาก ใครอยากเปิดร้านอาหารสาขาเยอะ ๆ ต้องทำสิ่งนี้เป็นจุดแข็งให้ได้ รวมถึงการมีครัวกลาง ที่จะทำให้การบริหารจัดการแม่นยำขึ้น รสชาติอาหารส่งต่อไปได้ทุกที่ แม่นยำ อร่อยเหมือนกันทุกสาขา

trending trending sports recipe

Share on

Tags